เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทีมชาติกับสโมสรเปรียบเหมือนลิ้นกับฟันนั่นคือนักเตะต้องลงเล่นควบคู่กันไปทั้งในระดับชาติ และระดับสโมสรซึ่งส่งผลให้ทีมต้นสังกัดไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ที่ต้องทนเห็นพ่อค้าแข้งเหนื่อยหนัก
ยิ่งถ้าบางรายได้รับบาดเจ็บมาจากเกมทีมชาติ สโมสรก็ย่อมเดือดร้อนตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
และสำหรับคราวนี้ หลายทีมใน พรีเมียร์ลีก ออกจะไม่ปลื้มเท่าไหร่โดยเฉพาะโปรแกรมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้บางคู่มีคิวลงเล่นนัดสุดท้าย ufabet ในวันศุกร์ซึ่งส่อเค้าว่าหลายสโมสรของเมืองผู้ดีจะต้องเสียผู้เล่นไปในเกมลีกวันรุ่งขึ้น
จะอย่างไรก็ตาม น่าสนใจไม่หยอกว่าในบรรดาสโมสรของ พรีเมียร์ลีก ทีมไหนที่มีผลงานฉกาจฉกรรจ์ที่สุดหลังนักเตะกลับมาจากการรับใช้ชาติ และลงเล่นให้กับสโมสร
ผลปรากฏว่า ลิเวอร์พูล คือทีมนั้นจากการสำรวจสถิตินับตั้งแต่ซีซั่น 2018/19 เป็นต้นมา
จากที่ bettingexpert เปิดเผยข้อมูล หงส์แดง มีอัตราการคว้าชัยชนะสูงที่สุดถึง 80% จากชัยชนะ 10 นัด เสมอ 2 นัด และไม่แพ้ใครเลย
แน่นอนว่าโปรแกรมทีมชาติถือเป็นฝันร้ายของผู้จัดการทีมระดับสโมสร แต่เอาเข้าจริง ทีมจาก แอนฟิลด์ แสดงให้เห็นว่ามันไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเลย
ว่ากันตามเนื้อผ้า ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องบุกไปซดเกือกกับ วัตฟอร์ด ในวันเสาร์นี้โดยเจ้าถิ่นมี เคลาคิโอ รานิเอรี่ อดีตนายใหญ่ทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดแชมป์ พรีเมียร์ลีก หวนกลับสู่ลีกอังกฤษมาประเดิมคุม แตนอาละวาด ลงสนามเป็นเกมแรก แต่ดูแนวโน้มแล้วไม่น่าจะทำให้ หงส์แดง เสียสถิติอันแข็งแกร่งของพวกเขา
และพอจะกล่าวได้ว่าเท่าที่ผ่านมา ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเตรียมความพร้อมให้กับนักเตะได้เป็นอย่างดีภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวซึ่งส่งผลให้ขุนพล เร้ด แมชีน มีความฟิตมากพอต่อการลงสนามอย่างมาราธอน
ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือทีม แมนฯ ซิตี้ คู่ปรับคนสำคัญของ คล็อปป์ รั้งอันดับสองในข่ายนี้จากเรตคุมทีมกำชัย 80% เช่นกัน แต่เป็นรองที่มีเกมพ่ายแพ้สองนัด
ด้วยเหตุนี้ แชมป์ พรีเมียร์ลีก จึงเก็บแต้มได้น้อยกว่า ลิเวอร์พูล สองแต้ม รั้งอยู่ในอันดับที่สองอย่างที่เห็น
ส่วนที่ตามมาในอันดับสามและสี่เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสองทีมยักษ์อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ซึ่งมีอัตราการคว้าชัย 60% เท่ากัน
ต่อโปรแกรมในสุดสัปดาห์นี้ ผีแดง จะยกทัพไปราวีกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเรตในข่ายนี้ 30% และปราชัยไปถึงหกนัดด้วยกันหลังจากผ่านพ้นโปรแกรมของทีมชาติ ขณะที่ สิงห์บลูส์ จะบุกไปบู๊กับ เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่
แม้ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี จะกำชัยได้ 6 นัดเช่นกัน แต่รายแรกมีผลงานโดยรวมเหนือกว่าจากผลเสมอ 3 นัด และแพ้ 1 นัด สวนทางกับเศรษฐีลอนดอนที่เสมอ 1 นัด และแพ้ 3 นัดซึ่งทำให้ทีมจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โกยแต้มได้มากกว่า
สำหรับ สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล สองสโมสรแห่งกรุงลอนดอนมีอัตราการคว้าชัยชนะเพียงแค่ 40% เท่ากัน แถมมีผลงานเหมือนก๊อปปี้กันมาอีกด้วยจากชัยชนะ 4 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 3 นัดซึ่งชี้ให้เห็นว่าทั้งคู่แบกรับโปรแกรมทีมชาติได้ไม่สู้ดีเท่าไหร่
หนำซ้ำเป็น เอฟเวอร์ตัน กับ วูล์ฟส์ ที่มีอันดับเหนือกว่าซะอีกจากการคว้าชัยชนะได้ในระดับ 50% ทั้งคู่
ส่วนทีมที่สมควรเป็นกังวลมากที่สุดหลังผ่านพ้นโปรแกรมทีมชาติประกอบไปด้วย คริสตัล พาเลซ , เบิร์นลีย์ , ไบรท์ตัน และ นิวคาสเซิ่ล
ทั้งสี่ทีมที่ว่าเก็บชัยชนะได้ในอัตรา 20% ยกเว้น นกนางนวล ซึ่งมีสถิติแค่ 10% เท่านั้น หากแต่อันดับโหล่ตกเป็นของ สาลิกาดง เนื่องจากทีมอีสานเก็บได้ 7 แต้มเท่ากันก็จริง แต่มีผลต่างประตูได้เสียเป็นรอง
อย่างไรก็ดี ที่น่าสนใจก็คือ เดอะ แม็กพายส์ ซึ่งประสบความสำเร็จถูกกลุ่มทุนจาก ซาอุดิ อาระเบีย เข้ามาเทคโอเวอร์โดยทีมที่มีเจ้าของสโมสรมั่งคั่งที่สุดในโลกรายนี้มีเกมลงสนามสุดสัปดาห์นี้ต้อนรับการมาเยือนของ สเปอร์ส
และที่แน่ๆ บอร์ดชุดใหม่ย่อมไม่ประทับใจที่ สาลิกาดง กำชัยหลังโปรแกรมทีมชาตินับตั้งแต่ซีซั่น 2018/19 ได้แค่สองเกมเท่านั้น และเสมอหนึ่งเกม แต่แพ้ไปถึงเจ็ดเกม
มันจึงน่าจับตาซะเหลือเกินว่านัดปะทะกับ ไก่เดือยทอง ซึ่งจะมีกองเชียร์ ทูน อาร์มี่ เดินเข้าสนาม เซนต์ เจมส์พาร์ค ชนิดเต็มความจุเนื่องจากตั๋วเข้าชมเกมนัดนี้ซึ่ง ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของคนก่อนกระเด็นออกไปแล้วจะช่วยเป็นแรงผลักดันให้ทีมอีสานสยบทีมจากเมืองกรุงได้หรือไม่ หลังจากซีซั่นนี้ซึ่งผ่านไปแล้วเจ็ดนัด พวกเขายังไม่ชนะใครเลย และรั้งอยู่ในอันดับรองบ๊วย
ติตดามข่าวสารวงการฟุตบอลได้ที่ buena-boca.com